การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นกุญแจสำคัญในการเทรดสมัยใหม่ที่ทำให้เทรดเดอร์มีเครื่องมือที่สำคัญในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดตามพฤติกรรมของตลาด โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นการศึกษาข้อมูลตลาดในอดีตซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นราคาและปริมาณ โดยมีเป้าหมายในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต มันมีพื้นฐานอยู่บนหลักการที่ว่ารูปแบบในอดีตของราคาและแนวโน้มของตลาดโดยรวมอาจบ่งบอกถึงกิจกรรมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งนี้ทำให้มันเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกประเภทสินทรัพย์
พื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมีพื้นฐานอยู่บนสามสิ่ง
โดยสันนิษฐานว่าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ตั้งแต่เหตุการณ์เศรษฐกิจมหภาคไปจนถึงข่าวของบริษัทจะถูกสะท้อนให้เห็นในราคาของมัน แนวคิดนี้เรียกว่าสมมติฐานตลาดที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งระบุว่าราคาเป็นตัวบ่งชี้นำของการรับรู้ตลาด
นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่าราคามีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในแนวโน้ม — ขึ้น ลง หรือด้านข้าง — และจนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนในทางตรงกันข้าม แนวโน้มเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปมากกว่าย้อนกลับ
พฤติกรรมของมนุษย์นั้นซ้ำซาก ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบที่จะทำซ้ำหลายครั้งเนื่องจากจิตวิทยาส่วนรวม รูปแบบเหล่านี้สามารถระบุได้โดยใช้กราฟและตัวบ่งชี้
การวิเคราะห์ทางเทคนิคได้รับแรงหนุนจากแนวคิดของอุปสงค์และอุปทานซึ่งการเปลี่ยนแปลงราคาจะสะท้อนให้เห็นถึงความสมดุลที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เมื่ออุปสงค์สูงกว่าอุปทาน ราคาจะเพิ่มขึ้น และเมื่ออุปทานสูงกว่าอุปสงค์ ราคาก็จะลดลง การทำความเข้าใจพลวัตเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการ ทำความเข้าใจพฤติกรรมของตลาด และทำการตัดสินใจซื้อขายอย่างชาญฉลาด โดยการศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขาย นักวิเคราะห์ทางเทคนิคพยายามระบุความไม่สมดุลเหล่านี้และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดในอนาคต
องค์ประกอบที่สำคัญ
กราฟเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการวิเคราะห์การซื้อขายในเชิงเทคนิค กราฟจะแสดงความผันผวนของราคาเทียบกับเวลา ซึ่งทำให้เครื่องมือนี้สามารถถูกนำมาใช้เพื่อการระบุรูปแบบและ แนวโน้มได้ ในบรรดากราฟประเภทหลัก ๆ เทรดเดอร์จะใช้กราฟเส้น กราฟแท่ง และกราฟแท่งเทียน เพื่อดูพฤติกรรมของตลาด จากกราฟทั้งสามประเภทนี้ กราฟแท่งเทียนเป็นที่ต้องการมากที่สุดเนื่องจากมันให้ข้อมูลที่ละเอียดที่สุดเกี่ยวกับราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดของสินทรัพย์ในช่วงเวลาใด ๆ ตัวบ่งชี้และออสซิลเลเตอร์เป็นพื้นฐานทางเทคนิคของการวิเคราะห์การซื้อขาย
ตัวอย่างเช่น Moving Averages จะช่วยปรับสัญญาณรบกวนในชุดราคาให้เรียบขึ้นเพื่อเน้นให้เห็นถึงแนวโน้มที่เกิดขึ้น ในขณะที่ Relative Strength Index และ Moving Average Convergence Divergence จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโมเมนตัมและการกลับตัวที่เป็นไปได้ นอกจากนี้ Bollinger bands, Fibonacci retracements และ Ichimoku clouds ก็ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ได้รับการศึกษาเพื่อให้เข้าใจพลวัตของราคาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้รวมกันจะให้มุมมองที่กว้างขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นและมั่นใจมากขึ้นในสภาวะที่ไม่พึงประสงค์
องค์ประกอบสำคัญอีกประการหนึ่งคือการวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย ปริมาณการซื้อขาย (Volume) คือจำนวนหุ้นหรือสัญญาทั้งหมดที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลาหนึ่งและโดยปกติจะถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้นำของการเปลี่ยนแปลงราคา ตัวอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่หรือความเร่งในแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่ ในทางกลับกัน ปริมาณดารซื้อขายที่กำลังลดลงภายในแนวโน้มขาขึ้นอาจเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่าโมเมนตัมกำลังอ่อนแรงลงและแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยนไป ด้วยการรวมปริมาณการซื้อขายเข้ากับรูปแบบราคา เทรดเดอร์จะสามารถยืนยันการทะลุที่กำลังเกิดขึ้นและประเมินความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหวของตลาดได้ก่อน
แนวรับและแนวต้านเป็นระดับของอุปสรรคทางจิตวิทยาในตลาด
แนวรับคือระดับของราคาที่ดอกเบี้ยซื้อแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันการลดลงอีก ในขณะที่แนวต้านเป็นระดับที่แรงกดดันจากการขายแข็งแกร่งพอที่จะหยุดแนวโน้มขาขึ้น
บ่อยครั้งที่ระดับเหล่านี้เป็นโซนการตัดสินใจที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความรู้สึกของเทรดเดอร์ และทำให้เกิดการผ่อนปรนในการกำหนดกลยุทธ์การเข้าและออก เส้น Moving averages และรูปแบบอื่น ๆ ของระดับแนวรับและแนวต้านแบบไดนามิกยังช่วยเพิ่มความสามารถของเทรดเดอร์ในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้
บทบาทของรูปแบบ
รูปแบบเป็นหัวใจของการวิเคราะห์ทางเทคนิค และเป็นตัวแทนของการต่อสู้และการแย่งชิงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ในรูปแบบทั้งหมด จะมีสองประเภทหลักที่มาก่อน: รูปแบบความต่อเนื่องและรูปแบบการกลับตัว รูปแบบความต่อเนื่อง ได้แก่ รูปแบบ flags, triangles หรือ pennants และสิ่งนี้บ่งชี้ว่าแนวโน้มควรดำเนินต่อไปในทิศทางที่ราคากำลังเคลื่อนไหว ส่วนรูปแบบการกลับตัวอาจระบุการเปลี่ยนแปลงในทิศทางแนวโน้ม ได้แก่ รูปแบบ head and shoulders และ double tops
รูปแบบเหล่านี้เป็นมากกว่ารูปร่างมัน เนื่องจากมันแสดงให้เห็นถึงอารมณ์และคุณลักษณะทางจิตวิทยาของพฤติกรรมของเทรดเดอร์ ในขณะที่รูปแบบ head and shoulder มักจะปรากฏขึ้นเมื่อโมเมนตัมขาขึ้นอ่อนแรงลงและมีการกลับตัวเป็นขาลง รูปแบบ bullish flags จะแสดงความสนใจอย่างมากในการเข้าซื้อหลังจากมีการ short ในช่วงสั้น ๆ แม้ว่าจะต้องใช้การฝึกฝนและความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดในการระบุ และใช้รูปแบบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่มันก็อาจช่วยให้เทรดเดอร์สามารถกำหนดเวลาคำสั่งซื้อขายได้อย่างแม่นยำ
รูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น harmonics — Gartley, Bat หรือ Butterfly — ก็มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นอีกชั้น พวกเขาจะพึ่งพาอัตราส่วนฟีโบนัชชีในการกำหนดระดับของแนวรับและแนวต้านด้วยความแม่นยำที่ไม่ธรรมดา การตั้งค่าต่าง ๆ สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีประสิทธิภาพกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ที่ต้องการความได้เปรียบ
รู้พื้นฐานการเทรดแล้วใช่ไหม? คุณกำลังรออะไรอยู่ล่ะ?